อโรมาเธอราพี (Aromatherapy) หรือ สุคนธบำบัด คือ
ศาสตร์ในการใช้น้ำมันหอมระเหยที่ได้จากการสกัดพืชหอม
(ขอย้ำว่าต้องเป็นน้ำมันหอมระเหยที่ได้จากการสกัดจากพืชเท่านั้น)
เพื่อการบำบัดรักษาหลายอาการ ตั้งแต่ อาการติดเชื้อต่างๆ โรคผิวหนัง
ไปจนถึงภูมิคุ้มกันบกพร่องและความเครียด
มีการใช้น้ำมันหอมระเหยในยุโรปมากว่าร้อยปี
และมีการใช้ในการแพทย์ตะวันออกมานานกว่าพันปี แต่ในประเทศฝรั่งเศสมีการ
ใช้สุคนธบำบัดทางการแพทย์อย่างเป็นระบบ
และมีการวิจัยกันอย่างกว้างขวางทั่วโลกในทุกๆ ด้าน
ส่วนสหรัฐอเมริกานิยมใช้สุคนธบำบัดร่วมกับการแพทย์ทางเลือกอื่นๆ
ในการรักษาโรคต่างๆ
ในประเทศไทยก็มีการใช้แบบพื้นบ้านเช่น การเข้ากระโจมแก้หวัด
ผู้เขียนจำได้ว่าตอนเป็นเด็กเล็กเมื่อเป็นหวัดคุณแม่จะให้นั่งอยู่หน้ากาละ
มังเคลือบที่มีสมุนไพรเปราะหอม หอมแดง ใบมะขาม
และเทน้ำเดือดลงไปพร้อมกับเอาผ้าเช็ดตัวคลุมโปงครอบไว้ทั้งตัว
ไอหอมระเหยเข้าจมูกเข้าไปบำบัดอาการหวัด สักพักเมื่อน้ำพออุ่นๆ
คุณแม่ก็จะเอาน้ำนั้นรดศีรษะไล่หวัดอีกรอบ เป็นอันว่าไปโรงเรียนได้
อดหยุดอยู่กับบ้าน
ความรู้ติดตัวนี้ได้เอาไปใช้เมื่อผู้เขียนได้ไป
ทำงานที่ประเทศภูฏานแล้วเกิด
เป็นไข้หวัดอย่างแรง โดยตื่นขึ้นมากลางดึกมีอาการปวดหัวมาก มีไข้
ปวดเมื่อยเนื้อตัว หายใจไม่สะดวก ถ้าเป็นประเทศไทยก็ไปโรงพยาบาล หรือ
ให้ลูกดูแล แต่ที่นี่ภูฏาน แถมพาราเซตามอลก็หมด
ยาสมุนไพรแก้หวัดก็หมดเพราะใจดีแจกคนอื่นด้วย เลยเข้าครัว
โชคดีที่เปราะหอมก็เป็นเครื่องเทศอย่างหนึ่งและเคยซื้อไว้
แต่ไม่มีหอมแดงใช้หอมฝรั่งแทน ใบมะขามหาไม่ได้
แต่สองอย่างนี้ก็เพียงพอที่จะขจัดอาการทั้งหมดนี้ได้และกลับไปนอนพักต่อ
ไปทำงานวันรุ่งขึ้นได้ ยังมีอีกมากมายที่เราใช้สืบต่อกันมา
ใครจะแบ่งปันก็ขอขอบคุณล่วงหน้า
แม้แต่การแพทย์แผนปัจจุบันก็มีการใช้ทิงเจอร์กำยาน (Benzoin Tincture)
มีขายที่โรงพยาบาลศิริราช
ซึ่งคุณพ่อของผู้เขียนใช้ในการรมจมูกเพราะท่านเป็นไซนัสอักเสบ
และผู้เขียนก็ใช้เป็นประจำเมื่อมีอาการหวัดคัดจมูกร่วมกับการรมเปราะหอมและ
หัวหอม วิธีการใช้คือ
หากระป๋องผลไม้ขนาดเท่าแก้วกาแฟซึ่งเป็นกระป๋องอลูมิเนียมเคลือบด้านใน
ทำกรวยขนาดพอดีครอบปากกระป๋อง ใช้กระดาษแข็งพอม้วนได้
ตัดปลายแหลมให้มีช่องพอให้ไอระเหยออกมาได้ ต้มน้ำเดือดจัดเทลงในกระป๋อง สัก
3/4 กระป๋อง เททิงเจอร์กำยานลงไปประมาณ 5 ซีซี หรือหนึ่งช้อนชา
รีบเอากรวยครอบ และเอาจมูกไปสูดดมที่ช่อง
ระวังไอร้อนลวกจมูกจากการสูดดมใกล้เกินไป
ควรใช้หลังมือสัมผัสไอที่ระเหยออกมาก่อนว่าร้อนไปหรือไม่และระยะห่างแค่ไหน
จึงพอดี เราต้องการกลิ่นหอมไม่ใช่ความร้อน
เมื่อเย็นลงจะสามารถสูดดมได้ใกล้ขึ้นๆ เมื่อไม่มีไอระเหยออกมาแล้ว
เทน้ำทิ้งแล้วสูดดมสารหอมที่เหลือติดก้นกระป๋องทำให้หายใจโล่ง
กระป๋องนี้เก็บไว้ใช้ได้อีกไม่ต้องล้าง
เพราะกำยานใช้เป็นยากันบูดในยาไทยและเครื่องสำอาง
ถ้าอยากล้างต้องใช้แอลกอฮอลละลายสารเรซินที่ติดอยู่ออกไปก่อนจึงล้างตามปกติ
ได้
ในด้านวิทยาศาสตร์ อโรมาเธอราพี เป็นศาสตร์แขนงหนึ่งของ Herbal Medicine
เพราะเป็นการใช้น้ำมันหอมระเหย (essential oil) ที่ได้จากการกลั่นพืชหอม
หรือ ด้วยการสกัดด้วยวิธีต่างๆ โดยน้ำมัน (essence)
ของพืชเหล่านี้มีคุณสมบัติในการรักษา ส่วนของพืชอาจจะเป็น ดอก ใบ กิ่ง
เปลือก แก่น ยาง ผล หรือ เมล็ดก็ได้
แต่เนื่องจากมีปริมาณน้อยจึงต้องใช้วัตถุดิบพืชจำนวนมาก
และส่งผลให้มีราคาแพง จึงมีการใช้กลิ่นสังเคราะห์ปนปลอม
จึงขอเตือนว่าผู้ที่ต้องการผลบำบัดต้องใช้น้ำมันหอมระเหยจากพืชเท่านั้น
ที่จริงแล้วส่วนที่ทำการบำบัดคือร่างกายเราเอง แต่โมเลกุลเล็กๆ หลายๆ
โมเลกุลในน้ำมันหอมระเหยเข้าสู่สมองของเราผ่านประสาทรับกลิ่นที่อยู่ในโพรง
จมูกด้านบน ซึ่งส่วนนี้ใกล้สมองมาก
และทำให้เกิดปฏิกิริยาตอบสนองทางเภสัชวิทยาของร่างกายมนุษย์
ในน้ำมันหอมระเหยมีโมเลกุลเล็กๆ นับร้อยโมเลกุล และทุกๆ
โมเลกุลล้วนมีผลต่อการบำบัดรักษา มิใช่แต่เพียงสารที่มีมากเท่านั้น
น้ำมันหอมระเหยหลายๆ ชนิดมีส่วนประกอบที่คล้ายๆ กัน
อาจต่างกันบ้างในบางโมเลกุลและสัดส่วน แต่ให้ผลการรักษาที่ต่างกัน
รวมทั้งกลิ่นซึ่งมีความเฉพาะเจาะจงกับพืชแต่ละชนิด (essence) เช่น
กลิ่นมะลิ ก็จะไม่พบในดอกกุหลาบ เป็นต้น
ผลต่อร่างกาย (Physiological Effects) ของน้ำมันหอมระเหย
เกิดเมื่อโมเลกุลเล็กๆ นับร้อยเหล่านี้ไปถึงสมองส่วนลิมบิค (limbic system)
ซึ่งควบคุมอารมณ์และความรู้สึกโดยจะมีความสัมพันธ์กับประสบการณ์และความจำ
และเนื่องจากสมองส่วนนี้เชื่อมต่อโดยตรงกับสมองที่ควบคุมการเต้นของหัวใจ
ความดัน การหายใจ ความจำ ระดับความเครียด สมดุลย์ฮอร์โมน
ดังนั้นการสูดดมน้ำมันหอมระเหยจึงเป็นวิธีที่ให้ผลทางร่างกายและระบบประสาท
ที่เร็วที่สุดทางหนึ่ง
เพราะหลังจากการสูดดมน้ำมันหอมระเหยจะเข้าสู่กระแสเลือดโดยทางเนื้อเยื่อของ
ปอด และจากระบบประสาทรับกลิ่นจะไปมีผลต่อสมองส่วนต่างๆ เช่น
สมองส่วนคอร์เท็กซ์ มีผลต่อการเรียนรู้ (intellectual process)
ต่อมพิทิวทอรี (pituitary gland) ซึ่งควบคุมระบบฮอร์โมนทั้งหมด
รวมทั้งฮอร์โมนจากต่อมหมวกไต
และสมองส่วนไฮโปธาลามัสซึ่งควบคุมความโกรธและความรุนแรง
รองศาสตราจารย์ ดร. อ้อมบุญ วัลลิสุต
ภาควิชาเภสัชวินิจฉัย คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล